Wednesday, December 7, 2011

หัวเราะกะเทาะสุขภาพดี

หัวเราะกะเทาะสุขภาพดี

       หัวเราะใครคิดว่าไม่สำคัญ หัวเราะดังๆเท่านั้น  อารมณ์ดีฉับพลันโดยไม่ต้องพึ่งยาแต่อย่างใด เรื่องของหัวเราะที่ใครๆ คิดว่ามีอยู่ในกายของทุกคนโดยไม่ต้องไปเรียนรู้กันที่ไหนนั้นคิดผิดแล้ว เพราะปัจจุบันเขามีโรงเรียน มีสมาคม กันแล้วเพราะความสำคัญของหัวเราะ เป็นอย่างไร เว็บไซต์ของ สสส.เขาว่าอย่างนี้

       เป็นที่รู้จักในประเทศไทย 5-6 ปีแล้วสำหรับศาสตร์หัวเราะบำบัด ซึ่งตามความเข้าใจของหลายๆ คน คงเข้าใจว่าหัวเราะบำบัดเป็นศาสตร์ที่เข้ามาฟื้นฟูจิตใจเท่านั้น ทั้ง เครียดซึมเศร้า นอนไม่หลับ


       ซึ่งก็ไม่ใช่ความเข้าใจที่ผิด แต่...ตลอดระยะเวลาที่หัวเราะบำบัด หรือ "สยามหัวเราะ" โลดแล่นอยู่ในสังคมไทย ไม่ได้ช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพใจดีขึ้นเท่านั้น หากยังช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพกาย ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง หัวใจ เบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ กรดไหลย้อน และอีกสารพัดโรคให้มีอาการดีขึ้น และอีกหลายคนถึงกับหายป่วยโรคนั้นๆ ไปเลยก็มี


       ผู้ที่บอกเล่าเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์โครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นักวิชาการด้านจิตบำบัดมากความสามารถคนหนึ่งของเมืองไทย


       ดร.วัลลภบอกว่า หัวเราะบำบัดเป็นการออกกำลังกายภายในที่เขาคิดค้นจากประสบการณ์รักษาจิต บำบัด 38 ปี ด้วยการขยับอวัยวะภายในให้ไขมันทรานส์ สารพิษต่างๆ ซึ่งเป็นบ่อเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ที่คั่งค้างอยู่ในเซลล์ทั่วร่างกายให้ออกไป ซึ่งจะช่วยแก้ไขและป้องกันโรคได้


       "เสียงเป็นสิ่งสำคัญมาก ช่วยคลายทุกข์เพิ่มสุข หัวเราะคือยาอายุวัฒนะ"นักจิตบำบัดคนแรกของไทยบอก เคล็ดลับวิชาที่ผู้ชายคนนี้คิดค้น ไม่ใช่แค่หัวเราะออกมา "ฮ่า ฮ่า ฮ่า" แล้วจบ แต่มีทั้งฝึกออกเสียง ฝึกลมหายใจและบริหารร่างกาย


       "เสียงที่แข็งแรงที่สุด ต้องออกเสียงด้วยตัว อ.อ่าง" ว่าแล้วเขาก็ออกเสียงให้ฟัง


       "โอ โอะ! โอะ!! โอะ!!!โอะ!!!! เป็นเสียงที่แข็งแรงมากซึ่งไปสอดคล้องกับฝรั่งที่ค้นพบว่า เอ อี ไอ โอ อู เป็นเสียงที่ทรงพลังมาก ส่วนลมหายใจ ให้หายใจเข้าลึกๆ ออกยาวๆ ไปจนถึงท้อง เพื่อให้ออกซิเจนไปฟอกลำไส้เพราะโรคทุกอย่างเริ่มจากลำไส้ใหญ่ สุดท้ายท่าบริหาร ถ้าขยับแขน ขา สะโพก ไหล่ นิ้วฝ่าเท้า เซลล์จะเปิดสารเคมีดีๆ เช่น เอนโดรฟิน และอีก 10 กว่าสารก็จะกระจายไปทั่วตัว ถือเป็นการรักษาโรคแบบองค์รวม"


       จากปีแรก เมื่อปลายปี '48 ดร.วัลลภคิดค้นท่าหัวเราะบำบัดไว้ 4 ท่า ผ่านมา 5 ปีตอนนี้ท่าหัวเราะบำบัดมีทั้งหมด 32 ท่า อาทิท้องหัวเราะ อกหัวเราะ คอหัวเราะ ใบหน้าหัวเราะ สมองหัวเราะ เท้าหัวเราะ แขนหัวเราะ สะโพกหัวเราะ ไหล่หัวเราะ ทวารหัวเราะ จมูกหัวเราะ ตาหัวเราะ หูหัวเราะ มีแม้กระทั่ง อวัยวะเพศหัวเราะ ทั้งของผู้ชายและผู้หญิง นอกจากนี้ยังมีหัวเราะแบบความสัมพันธ์ ตบบ่า ตบไหล่ ตบหลัง และกอดกันหัวเราะ และหัวเราะสุดชีวิตคือกระโดดหัวเราะ


       "ท้องหัวเราะ อกหัวเราะช่วยโรคหัวใจโรคสมอง โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคมะเร็งคอหัวเราะทำให้ไม่เครียด ไม่เป็นไทรอยด์ ไม่เป็นหวัดง่าย ใบหน้าหัวเราะแก้โรคซึมเศร้าโรคสมองทุกชนิด หรืออวัยวะเพศหัวเราะ ผู้หญิงทำให้ไม่เป็นมะเร็งปากมดลูก ผู้ชายไม่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก"

        ดร.วัลลภแนะนำ 4 ท่าหัวเราะพื้นฐาน เริ่มด้วย "ท้องหัวเราะ" ให้ยืนตัวตรง ยกแขนให้อยู่ระดับเอวแล้วกำมือชูนิ้วโป้ง หายใจเข้า แล้วผ่อนออก เปล่งเสียง "โอ๋...โอ...โอ" เป็นจังหวะ ยื่นมือไปข้างหน้าโดยขยับกล้ามเนื้อหน้าท้องพร้อมออกเสียง


       "อกหัวเราะ"แบมือกางแขนออกด้านข้าง ให้ข้อศอกอยู่ระดับเอว หายใจเข้า แล้วผ่อนลมหายใจออก เปล่งเสียง "อ๊า...อา...อา" เป็นจังหวะ ยกแขนขึ้นลงพร้อมกับยกไหล่และหน้าอก


       "คอหัวเราะ"แนบแขนข้างลำตัว ยกแขนขนานพื้นระดับเอว แล้วกำมือหลวมๆทำเป็นปืน หายใจแบบท่าแรก เปล่งเสียง "อู๋...อู...อู" ทำท่ายิงปืนออก พร้อมเคลื่อนเอวให้เข้ากับจังหวะ


       "หน้าหัวเราะ"กางแขนออกด้านข้างแล้วยกมือขึ้นตั้งฉาก แบบมือออก หายใจ เปล่งเสียง "เอ๋...เอ...เอ" ขยับตัวซ้าย-ขวาไปมาพร้อมขยับทุกนิ้ว


       ตลอดการเผยแพร่หัวเราะบำบัดทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบเจอคนกว่าแสนคน ดร.วัลลภบอกว่า โรคทางจิตอันดับ 1 คือโรคซึมเศร้า นอนไม่หลับ และย้ำคิดย้ำทำ ส่วนโรคทางกายคือโรคหัวใจ โรคสมอง โรคมะเร็ง โรคกรดไหลย้อน


       "ทุกคนที่มาฝึกหัวเราะบำบัดกลับออกไปจะมีความสุขมาก หลายคนบอกว่า หัวเราะทำให้สมองดีขึ้น เป็นมะเร็งมาฝึกหัวเราะหายบางคนไม่หายแต่อาการดีขึ้น เป็นโรคหัวใจมาฝึก อาการดีขึ้น เป็นโรคนอนไม่หลับมา 10 ปีฝึกครั้งเดียวกลับไปบ้านหลับสบาย เป็นโรคจิตอย่างรุนแรง ฝึกหัวเราะก็หาย" ดร.วัลลภบอก และว่า


       "สิ่งเหล่านี้เกิดจากการทำให้เสียงของตัวเองมีความสุข เมื่อจิตมีความสุข ร่างกายก็มีพลังใจด้านดีเพื่อสู้กับโรคที่เป็นอยู่ จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว และถ้าใครไม่อยากเป็นโรคซึมเศร้า หรือเส้นเลือดในสมองแตก ให้หัวเราะวันละ 15 ครั้งต่อวัน" ทิ้งท้ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


       ด้านสมาชิกสมาคมหัวเราะบำบัดแห่งประเทศไทย รุ่นบุกเบิก นายกสานติ์ วณิชชานนท์ อายุ 72 ปี บอก ว่า ก่อนมาเป็นกูรูสร้างความสุข เคยเป็นคนอุดมโรค ทั้งเบาหวาน ไตรกลีเซอไรด์ ยูริก คอเลสเตอรอลสูงแต่พอผ่านไป 3 เดือน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ น้ำหนักลดลง 3 กิโลกรัม ระดับน้ำตาล ไตรกลีเซอไรด์ ยูริก คอเลสเตอรอล ลดลง ขณะนี้มีสุขภาพเหมือนคนอายุ 50 ปี ร่างกายแข็งแรงมากแม้จะเคยถูกรถทับบาดเจ็บสาหัส เมื่อปี 2550 ก็ตาม


       นางสาวรัชนี พิตานนท์ทวัฒน์ อายุ 50 ปีอีกหนึ่งกูรู สมาชิกชมรมหัวเราะฯ บอกว่า มาฝึกครั้งแรกเพราะแม่เป็นโรคหัวใจ ขณะนี้โรคของแม่ทุเลาลงมากแล้ว แต่สำหรับเธอหัวเราะบำบัดทำให้หายจากโรคภูมิแพ้ที่เป็นมาตั้งแต่เด็กๆ มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น และหายจากอาการนิ้วล็อคที่เป็นมานาน


       "หัวเราะบำบัดคล้ายกับชีกง แต่เป็นชีกงอย่างง่ายแบบไทย เพราะได้ผลคล้ายๆ กันแต่ท่าจำได้ง่ายกว่า ไม่ยากมากนัก ทันสมัยมากเป็นนาโนเทคโนโลยี เพราะใช้เสียงของเราเอง ซึ่งเป็นอะไรที่เล็กๆ ละเอียดๆ ให้เกิดการสั่นสะเทือนลงไปในอวัยวะภายใน เหมาะกับคนยุคนี้ที่ไม่ค่อยมีเวลา ใช้เวลานิดเดียวแต่ร่างกายแข็งแรง" นางสาวรัชนีทิ้งท้ายวันที่น่าเสียดายที่สุด คือ วันที่เราลืมหัวเราะ


*******
ร่วมกระตุกห้วเราะจาก http://www.thaihealth.or.th

 

No comments:

Post a Comment