Tuesday, March 13, 2012

เราจะรู้ได้อย่างไรหากใครโกรธเรา

เราจะรู้ได้อย่างไรหากใครโกรธเรา
โดย อัมพวรรณ 


       ชาวเนเธอร์แลนด์จะตัดสินอารมณ์ของบุคคลอื่น ๆ ด้วยการสังเกตการแสดงออกทางใบหน้า ในขณะที่ชาวญี่ปุ่นมักจะใช้การสังเกตเสียงพูด
      อากิฮิโตะ ทานะกะ จากสถาบันการวิจัยขั้นสูงวาเซดะในกรุงโตเกียว และทีมงานกล่าวว่า การรับรู้อารมณ์และความรู้สึกเป็นลักษณะเฉพาะในแต่ละวัฒนธรรม

      ทานะกะและทีมงานได้ทำการบันทึกวีดิโอโดยให้นักแสดงพูดประโยคที่ไม่แสดง ความรู้สึกด้านบวกหรือลบตามธรรมชาติทั้งในภาษาญี่ปุ่นและภาษาดัทช์ ในขณะที่พวกเขาอยู่ในภาวะโกรธ หรืออารมณ์ดี ของพร้อมทั้งตั้งคำถามว่า มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือ (Is that so?) จากนั้นนำมาให้กลุ่มตัวอย่างทั้งสองเชื้อชาติได้ทำการตัดสินว่าแท้จริงแล้ว พวกเขามีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร

      งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยานี้กล่าวว่า ชาวญี่ปุ่นมักจะซ่อนความรู้สึกไม่ดีของพวกเขาเอาไว้ด้วยการยิ้ม ดังนั้นชาวญีปุ่นจึงมักใช้วิธีการสังเกตอารมณ์ของผู้อื่นด้วยการฟังเสียง ใแต่สำหรับชาวดัทช์หรือชาวเนเธอร์แลนด์ซึ่งพวกเขามักจะมีน้ำเสียงและใบหน้า ไปในทิศทางเดียวกัน อาจจะไม่สังเกตเห็นความรู้สึกแย่ในน้ำเสียงที่เบี่ยงเบนความสนใจด้วยใบ หน้าที่ยิ้มแย้ม

       “งานวิจัยของเราจะทำให้การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น” ทานะกะกล่าว

*******
ซั่วจาก  http://healthy.in.th


Monday, February 20, 2012

ร่าเริง เบิกบาน เมื่อเห็นรูปคุณแม่

 ร่าเริง เบิกบาน เมื่อเห็นรูปคุณแม่


         นอกจากแม่จะเป็นความงดงามที่อยู่ภายในใจของลูกๆ แล้ว แม่ยังช่วยให้การทำงานของสมองของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ผลงานวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการมองรูปถ่ายคุณแม่จะช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง ให้ทำงานได้ดีขึ้นมากกว่าการมองหน้าผู้อื่นหรือแม้กระทั่งคุณพ่อของคุณ
         งานวิจัยนี้อธิบายได้ว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวเกิดจากกระบวนการที่ซับ ซ้อนของสมองซึ่งเกิดขึ้นในช่วงขวบเดือนแรกของชีวิต ที่เด็กจะรู้สึกมั่นใจและอุ่นใจเนื่องจากคุณแม่จะอยู่กับพวกเขาแทบตลอดเวลา ซึ่งความรู้สึกนี้จะมีอยู่จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่
         นักวิจัยชาวแคนาดา ทำการวัดระดับประสิทธิภาพการทำงานของสมองของอาสาสมัครที่รับชมภาพของพ่อแม่ ของตนเอง ภาพคนแปลกหน้าและภาพของผู้มีชื่อเสียง พบว่าเซลล์สมองจะสามารถทำงานได้ดีที่สุดเมื่อมองรูปถ่ายคุณแม่ รองลงมาคือการมองรูปถ่ายคุณพ่อ คนมีชื่อเสียงและคนแปลกหน้าตามลำดับ
       นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต กล่าวว่า การมองหน้าของคุณแม่ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองนั้นมักพบในผู้ใหญ่ที่ ต้องอาศัยอยู่ห่างไกลจากพ่อแม่ของเขาเป็นเวลาหลายปีและจะส่งผลได้ในระยะยาว
        ในขณะที่งานวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่าเสียงของแม่จะช่วยลดความตึงเครียด ได้ แม้จะได้ยินจากการคุยโทรศัพท์ ซึ่งสามารถช่วยให้ผ่อนคลายได้เช่นเดียวกับการกอดคุณแม่


*******

คิดถึงแม่ จาก  http://healthy.in.th 

Wednesday, February 8, 2012

5 วิธีแฮปปี้ได้ทุกวัน

5 วิธีแฮปปี้ได้ทุกวัน

โดย student-nan
 
 
มีความสุขในทุกวันทั้งยังช่วยให้อายุยืนอีกด้วย ความวุ่นวายในสังคมโลกปัจจุบัน อาจทำให้ใครหลายคนต้องวุ่นวายใจและเครียดไปตามๆ กัน 5 วิธีที่จะช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างแฮปปี้  เคล็ดลับดีๆ ที่จะทำให้ มีความสุขและอายุยืนได้ง่ายๆ

1. กินอาหารสดใหม่เสมอ ถ้าเรากินอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย ร่างกายจะสามารถนำสารอาหารต่างๆ ที่ได้จากอาหารที่เรากินเข้าไป เปลี่ยนเป็นพลังงานในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน การกินอาหารที่สดสะอาดจะทำให้ร่างกายไม่ต้องใช้พลังงานมากในการเผาผลาญอาหาร ทำให้ตัวเราดูสดชื่น ผิวพรรณสดใส และใช้พลังงานชีวิตได้อย่างเต็มที่

2.หัวเราะทุกวัน เคยได้ยินคำพูดที่ว่า หัวเราะคือยาวิเศษหรือ เปล่า นั่นแหละคือความจริงที่สุด หัวเราะทุกๆวัน อารมณ์ดี มองโลกแง่บวกเข้าไว้ อาจเล่นเกมบ้าๆ กับพี่น้องบ้าง ฟังคนอื่นเล่าเรื่องฮาๆ ดูหนังตลก หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้เราหัวเราะได้ลองทำดู แล้วจะพบว่าความสุขอยู่ใกล้ๆ ตัวเรานี่เอง

3.เดินบ่อยๆ ในแต่ละวันเดินให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง การเดินเป็นการบริหารข้อต่อและปอดได้เป็นอย่างดี เดินเพียงแค่วันละ 20 นาทีทุกส่วนของร่างกายก็จะได้บริหาร ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงล่ะก็ลองเดินขึ้นบันไดแทนการใช้บันไดเลื่อนหรือลิฟต์ดู

4.ดื่มน้ำมากๆ ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะช่วยให้ร่างกายเกิดความสมดุล และช่วยให้ขบวนการขับถ่ายดีขึ้น เพราะเมื่อร่างกายขาดหรือสูญเสียน้ำมากเกินไป โรคภัยจะยิ่งถามหาเรามากขึ้น การดื่มน้ำให้มากๆ ในแต่ละวันยังช่วยลดซึมเศร้าเหงาหงอยได้อีกด้วย


5.ทำในสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ชอบในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการดูทีวีติดกัน 15 ชั่วโมง หรือเล่นเกมออนไลน์ข้ามคืน แต่หมายถึงลองทำกิจกรรมที่ชอบ ออกกำลังกายที่ชอบ เพื่อให้หัวใจได้รับการบริหารบ้างเช่น ถ้าชอบ    ช็อปปิ้ง ก็ออกไปเดินช็อปปิ้งซัก 3-4 ชั่วโมง พาเจ้าตูบไปเดินเล่นข้างนอกบ้านบ้าง หรือไม่ก็หากิจกรรมที่ทำร่วมกับครอบครัว จะช่วยให้ผ่อนคลายและได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย

           5 อย่าง ที่กล่าวมาแล้วเป็นสิ่งง่ายๆที่ใครๆ ก็ทำได้ และเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอันขาด ใครที่อยากมีความสุขอยู่บนโลกใบนี้นานๆ ก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติกัน

เรื่องบางเรื่องไม่น่าหัวเราะ แต่เขาหัวเราะและก็คุณด้วย เช่นเรื่องนี้


*******
ที่มาของยิ้ม http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/healthtips/15811

Friday, February 3, 2012

sureclips ซั่วคลิป: แย้มยิ้ม และ สงบนิ่ง

sureclips ซั่วคลิป: แย้มยิ้ม และ สงบนิ่ง: แย้มยิ้ม และ สงบนิ่ง โดย พระไพศาล วิสาโล ใครที่ได้ไปพม่า หากมีเวลาหลายวัน ย่อมอดไม่ได้ที่จะต้องไปพุกาม ซึ่งเป็นราชธานีโบ...

แย้มยิ้ม และ สงบนิ่ง

แย้มยิ้ม และ สงบนิ่ง
โดย พระไพศาล วิสาโล 


        ใครที่ได้ไปพม่า หากมีเวลาหลายวัน ย่อมอดไม่ได้ที่จะต้องไปพุกาม ซึ่งเป็นราชธานีโบราณร่วมสมัยกับนครวัดของเขมร “ทะเลเจดีย์”เป็นสมัญญานามที่คู่ควรกับพุกามโดยแท้ แม้กาลเวลาจะผ่านไปกว่า ๑,๐๐๐ ปี แต่วัดและเจดีย์โบราณหลายแห่งก็ยังคงรูปทรงร่างเกือบสมบูรณ์จนถึงปัจจุบัน
        หนึ่งในวัดโบราณดังกล่าวก็คือ วิหารอนันดา ซึ่งมีผังทางสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง อีกทั้งมีการก่ออิฐที่มั่นคงแน่นหนา ในวิหารมีอากาศถ่ายเทเย็นสบาย แต่ที่ทำให้เย็นใจสบายจิตก็คือพระพุทธรูปยืนด้านทิศใต้ ซึ่งสูงหลายเมตรและมีอายุนานนับพันปี นี้เป็นหนึ่งในสองของพระพุทธรูปเก่าแก่ที่ประดิษฐานตั้งแต่สร้างวัด นับเป็นพระพุทธรูปที่งดงามคู่พุกามทีเดียว
พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะพิเศษประการหนึ่งคือ เมื่อมองไกลสัก ๑๐ เมตรจะเห็นพระพักตร์แย้มยิ้ม แต่หากเดินเข้าไปใกล้ ๆ จะพบว่ารอยยิ้มได้แปรเปลี่ยนไป สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของคนส่วนใหญ่คือพระพักตร์ที่ “บึ้ง” นักท่องเที่ยวจากเมืองไทยจึงเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระยิ้ม-บึ้ง”
        ที่จริงหากมองให้ดี พระพักตร์ที่มองจากมุมใกล้นั้น หาใช่เป็นพระพักตร์บึ้งไม่ แต่เป็นพระพักตร์ที่สงบต่างหาก เป็นความสงบที่สามารถแผ่ไปถึงใจของผู้ที่อยู่เบื้องหน้าพระองค์ หากเขาหรือเธอผู้นั้นสำรวมกายวาจาใจ แล้วมองนิ่ง ๆ อย่างสบาย ๆ ไม่รีบร้อนที่จะเดินไปไหน
       เป็นความสามารถอันเอกอุของช่างโบราณที่รังสรรค์พระพุทธรูปไม้องค์นี้ ซึ่งไม่เพียงงดงามเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงพุทธคุณอย่างครบถ้วน อันได้แก่ พระกรุณาคุณ และพระปัญญาคุณ
พระกรุณาคุณนั้นแสดงออกด้วยพระพักตร์ที่แย้มยิ้ม เปี่ยมด้วยความรักต่อสรรพชีวิต ใครที่ได้เห็นพระพุทธรูปองค์นี้จากมุมไกล ย่อมรู้สึกอบอุ่น หากมีความทุกข์หรือเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ย่อมมีความหวังหรือกำลังใจว่าพระกรุณาคุณจะช่วยปกปักรักษาให้ปลอดภัย
        ส่วนพระปัญญาคุณนั้นแสดงออกด้วยพระพักตร์ที่สงบนิ่งเมื่อมองจากมุมใกล้ เป็นอาการของผู้ที่ไม่หวั่นไหวกับโลกธรรมไม่ว่าลาภ ยศ สุข สรรเสริญ หรือความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ทุกข์ หรือนินทา ด้วยประจักษ์แจ้งในสัจธรรมของโลกว่าความผันผวนแปรปรวนเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อพบก็ต้องพราก เมื่อเจอก็ต้องจาก ได้กับเสีย ดีใจกับเสียใจเป็นของคู่กัน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่ยึดติดในสุขหรือสภาวะฝ่ายบวก ทุกข์หรือสภาวะฝ่ายลบจึงทำอะไรไม่ได้
        ด้วยพระกรุณาคุณ พระพุทธองค์จึงทรงช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ แต่ในเวลาเดียวกันพระปัญญาคุณ ก็ทำให้พระองค์ทรงสงบนิ่งได้หากผู้หนึ่งผู้ใดมิอาจพ้นทุกข์ได้ เพราะการที่ใครคนหนึ่งจะพ้นทุกข์ได้นั้นมิได้อยู่ในอำนาจของพระองค์ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยซึ่งมีอยู่มากมายเกินวิสัยที่ใครจะควบคุมให้เป็นไป ตามใจได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพระปัญญาคุณทำให้ทรงมีอุเบกขาหากพระกรุณาคุณไม่ประสบผล
        ใช่หรือไม่ว่าพระพุทธรูปองค์นี้กำลังสอนธรรมแก่เราว่า กรุณาและปัญญาเป็นธรรมที่จำต้องควบคู่กัน แม้มีเมตตาหรือความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ก็จำต้องรู้จักวางใจให้สงบนิ่ง หรือเป็นอุเบกขาด้วยหากไม่สามารถช่วยเขาให้พ้นทุกข์ได้ ผู้ที่มีแต่เมตตาหรือกรุณา หากขาดปัญญาเสียแล้ว ย่อมทุกข์ใจได้ง่ายหากพบว่าตนไม่สามารถช่วยให้คนรักแคล้วคลาดจากทุกข์ได้ เมื่อไม่มีปัญญาเราย่อมติดยึดคาดหวังให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปดังใจ ทั้ง ๆ ที่มันไม่อยู่ในอำนาจของเราเลย หากแต่ขึ้นอยู่กับกระแสแห่งเหตุปัจจัยล้วน ๆ
       แต่ถ้าเราตระหนักถึงความจริงข้อนี้ การช่วยผู้อื่นแม้จะทำอย่างเต็มที่ ก็ไม่ยึดติดในผลที่ตามมาว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จิตใจปล่อยวางจากความคาดหวัง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ยอมรับได้เพราะทำเต็มที่แล้ว จึงไม่ทุกข์ไปกับการช่วยเหลือหรือตั้งจิตปรารถนาดีต่อผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ทำใจสงบนิ่งได้
         เราจึงควรฝึกตนให้เป็นดังพระพุทธรูปองค์นี้ คือแย้มยิ้มปรารถนาดีต่อทุกชีวิต และสงบนิ่งต่อทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งกับตนเองและผู้อื่น โดยเฉพาะเมื่อได้พากเพียรพยายามเต็มที่แล้ว
                                                            *******
แย้มยิ้มจาก http://www.visalo.org

Thursday, January 26, 2012

การจัดการกับความโกรธ

 การจัดการกับความโกรธ 

      ทุกคนรู้ดีว่า การโกรธเป็นสิ่งไม่ดี แต่การจะห้ามไม่ให้โกรธ นั้นลำบาก โดยเฉพาะเมื่อโกรธเข้าสิงในกายแล้ว ช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ กลืนโลกกินได้ก็จะกลืน โลกอยู่ในกำมือก็จะสามารถ บี้เป็นผงได้ และอีกหลายอย่าง แล้วโทษละ ขั้นเทพเชียว ไปจัดการกับเจ้าตัวโกรธกันดีกว่า จากเว็บไซต์ สวนธรรมะโพธิญาณ

    ถาม วิธีการดูจิตประเภทโทสะจากหยาบ (ขุ่นเคืองมาก) จนถึงละเอียด (เริ่มขัดใจน้อยๆ) ตระหนักถึงความจำเป็นแต่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้?

     ตอบ อย่าเรียกว่า การดูจิตโทสะ เลย ถ้าเข้าใจว่าเป็นเพียงแค่การดูจิต เราจะสับสน และเมื่อปฏิบัติจะได้เพียงแค่สติจำสภาวะได้เท่านั้น ซึ่งขาดปัญญาอันเป็นสิ่งสำคัญในการรื้อถอนสมุหทัย มันต้องหมายครอบคลุมถึง การจัดการ(Deal)กับความโกรธ หรือโทสะนั้น จะถูกตรงกว่า

       ฉะนั้นในเบื้องต้น เราต้อง "พึงระงับความโกรธ ด้วยการไม่โกรธ" ไว้ก่อน เมื่อรู้ว่าจิตปรุงแต่งความโกรธขึ้น ก็ไม่ต้องไปปรุงต่อใดๆทั้งสิ้น เฝ้าดูธรรมชาติของมันไป เพื่อเรียนรู้
       แต่ หากเราไม่สามารถระงับความโกรธเช่นนั้นได้ นั่นแสดงว่ากำลัง(สติ สมาธิ ปัญญา)ของเราอ่อนกว่ากำลังของความยึดติดในสิ่งมากระตุ้นให้เราโกรธนั้น เราจึงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน ด้วยยาแก้บางอย่าง เช่น ใช้เมตตา, การสอนเตือนตัวเองอย่างไรก็ได้ให้มันหยุดโกรธก่อน หรือ ที่สุดก็เดินหนีเสีย
      เมื่ออกุศลจิตเกิด จงระงับเสีย อย่าได้ให้มันเจริญงอกงามเป็นอกุศลกรรมเลย
       นั่นหมายถึงว่า อย่าได้ก่อวจีกรรม หรือ กายกรรมใดๆไปในขณะที่เรากำลังมีความโกรธ มันเป็นสิ่งไม่ดีอย่างยิ่ง มันจะเป็นการตอกย้ำความเคยชินในการโกรธให้แก่ใจของเรา และอาจเป็นการก่อเวรด้วย 
       เมื่อเราสามารถระงับความ โกรธในตอนนั้นได้แล้ว อย่าปล่อยโอกาสให้มันผ่านไป เพราะการทำเพียงที่กล่าวมาข้างต้น มันยังไม่ได้ช่วยให้เรามีกำลังอะไรเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญญาที่จะรื้อถอนเหตุแห่งความโกรธนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อประสบกับปรากฏการณ์แห่งความโกรธทั้งที ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า จึงต้องเอามันมาเรียนรู้
       ปัญหาของความโกรธรวมทั้ง อารมณ์ทั้งหลาย เราต้องแยกการเรียนรู้ออกเป็นสองเรื่อง คือ เรียนที่ตัวสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์นั้น และ เรียนที่ตัวอารมณ์นั้นเอง
 1) พิจารณาที่สิ่งกระตุ้น เมื่อเราสามารถระงับความโกรธ หรือ ระงับใจไม่ให้โกรธตอนนั้นได้แล้ว เราจำเป็นจะต้องพิจารณาให้ดีว่า ทำไมเราถึงเกิดความขัดเคืองเพราะกระทบสิ่งนั้น เราต้องดูความผิดพลาดที่ตัวเราเองว่า เราหลงยึดธรรมคู่อันไหน เพราะธรรมชาติแห่งความโกรธนั้นเกิดจากการประสบกับ สิ่งที่ตนไม่พอใจ ดังนั้น ความผิดพลาดมันจึงอยู่ที่ ทำไมเราจึงหลงไปไม่พอใจสิ่งนั้นต่างหาก
       มันเป็นความผิดพลาดของเราเอง ที่เราหลงไปโกรธสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราวางใจไม่ถูกเองต่างหากไม่ใช่ความผิดของใครอื่น
       ดัง นั้นเมื่อเราไม่พอใจ ซึ่งแน่นอนเพราะเราคิดลบกับสิ่งนั้น เราจึงต้องแก้ด้วยการมองบวก เพื่อผ่อนคลายความยึดมั่นถือมั่นของเรา เราขัดเคืองกับความร้อนแสดงว่าเรามองแง่ลบกับความร้อน เราก็ต้องมองแง่บวกดู คิดพิจารณาด้วยเหตุผลให้เห็นแง่ดีของความร้อน(ต้องเป็นความจริงไม่ใช่หลอก ตัวเอง) เพื่อให้จิตถอนตัวออกจากการมองแต่เพียงแง่เดียว เราไม่พอใจคนด่าว่าเรา เราก็ต้องมองแง่ดีของการด่านั้น เพื่อให้ใจเรามองเห็นสมมุติทั้งหลายตามความเป็นจริง
       เพราะ คนเราจะเซเข้าไปอยู่ในความเห็นข้างใดข้างหนึ่งเสมอ จึงทำให้มองไม่เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ความเป็นจริงของทุกสิ่งสมมุตินั้น มันมีสองด้านเสมอ มีดีก็มีไม่ดี มีบวกก็มีลบ มีถูกก็มีผิด เมื่อเราสามารถพิจารณาหาเหตุผลจนจิตมันยอมรับความผิดพลาดของตนเองได้แล้ว จิตจะคลายจากความเซ กลับคืนมาอยู่ตรงกลาง ตรงนี้ล่ะถึงจะเป็นเมตตาที่แท้จริง ตรงนี้ล่ะถึงจะเกิดการให้อภัยที่แท้จริง 
       การให้อภัยผู้อื่นที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อเรามองเห็นและยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเราเอง
       เพราะ ฉะนั้น ณ จุดนี้เราจะเห็นว่า หากเรายิ่งปิดใจตัวเองด้วยทิฐิมานะ หลงว่าเราถูก เราเก่ง เราดี มันย่อมไม่มีทางรื้อถอนความโกรธในตัวเราได้เลย
2) พิจารณาที่ตัวอารมณ์ เมื่อจิตเราเริ่มคืนสู่ความเป็นกลาง เพราะไม่เซไปจมตามความคิดปรุงแต่งในแง่เดียว เราจำต้องยกตัวอารมณ์โกรธนั้นขึ้นมาพิจารณาอีกทีหนึ่ง ซึ่งการพิจารณาจุดนี้ก็แยกออกเป็นสองอย่าง คือ
2.1) เราต้องพิจารณาให้เห็นโทษภัยของอารมณ์โกรธนั้น เพื่อให้เกิดความกลัว และ เข็ดหลาบ ที่จะไม่โกรธอีก เรียกว่า ให้มี หิริโอตปปะ ให้ได้ ซึ่งมันจะเป็นตัวช่วยให้เกิดพลังในการจัดการกับความโกรธในครั้งต่อไปมากขึ้น
2.2) เราต้องพิจารณาให้เห็น ธรรมชาติของความโกรธเอง คือดูมันตามเป็นจริง มองให้เห็นถึงแก่นแท้ธรรมชาติของมัน ที่เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง เป็นมายา หาตัวตนจริงๆไม่ได้ หากเราแจ้งชัดในสิ่งนี้บ่อยๆ เราถึงจะวางความโกรธได้ ซึ่งตรงนี้ต้องอาศัยความสงบในการเฝ้าดูสังเกตธรรมชาติของมันยามเมื่อมัน ปรากฏ ดูมันไปเรื่อยๆ อย่าด่วนสรุปว่าเรารู้หรือเข้าใจแล้ว ยิ่งดูนานๆ เราก็ยิ่งเข้าใจมันได้มากและแยบคาย
3) แปรเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ คนเรา(นักปฏิบัติ) มักจะมองอารมณ์โกรธนี้เป็นของไม่ดี จนเกิดความเกลียดชัง และต้องการที่จะกำจัดมันไปให้เร็วที่สุด เมื่อเรารู้สึกเช่นนี้ มันยิ่งทำให้เราขัดเคืองกับความโกรธของเราเอง เรียกว่า โกรธความโกรธ มันเลยยิ่งทวีความโกรธเพิ่มขึ้น เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเราไม่เข้าใจความโกรธตามความเป็นจริง เมื่อเราเข้าใจความโกรธตามความเป็นจริง ว่ามันเป็นเพียงปรากฏการณ์แห่งเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้น เราก็ใช้มันแปรเปลี่ยนให้เกิดปัญญาแก่ตัวเรา ดังนั้น ทั้งความโกรธ และ สิ่งหรือบุคคลที่ทำให้เราเกิดความโกรธ ก็ล้วนเป็นแหล่งที่จะทำให้เราเกิด ขันติ สมาธิ และ ปัญญา ได้อย่างดี หากเรามีทัศนคติที่ถูกต่อมัน จงแปรเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ ที่จะกล้าเผชิญกับมัน เปิดใจ ยอมรับ และ เรียนรู้ทุกๆสิ่ง โดยไม่ขัดแย้ง หรือ เข้าไปเป็นกับมัน จงถอยออกมาเป็นผู้เรียนรู้สังเกต เพื่อให้เกิดพลัง
       จงมองสิ่งร้ายเหล่านี้ที่ทำให้เราเกิดความโกรธ เป็นดั่งเช่นครู แล้วแปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลัง
****** 
ข้อมูลแสนดีจาก  http://www.dmbodhiyan.com

Wednesday, January 18, 2012

ยิ้ม อย่าให้แพ้ลิง

ยิ้ม อย่าให้แพ้ลิง

       แม้ว่าลูกลิงซิมแพนซีจะมีอารมณ์และความรู้สึกคล้ายกับเด็กทารก ที่สามารถหัวเราะได้เมื่อรู้สึกสนุกสนานและดื้อเมื่อมีใครทำอะไรที่ไม่ถูกใจ แต่งานวิจัยจากประเทศอังกฤษชี้ให้เห็นแล้วว่าลูกลิงซิมแพนซีสามารถควบคุม อารมณ์และพฤติกรรมของมันได้ดีกว่ามนุษย์
       ลูกลิงซิมแพนซีจะไม่มีอาการโคลิก คืออาการร้องไห้ไม่หยุดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง จะไม่ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล และเมื่อคุณนำเจ้าลูกลิงไปไว้ในที่ที่เหมาะสม มันก็จะไม่กวนใจคุณอีก ซึ่งนั่นหมายความว่ามันสามารถควบคุมตนเองได้ทั้งที่ยังเล็กอยู่
       นักวิจัยกล่าวว่า ลิงซิมแพนซีจะมีพัฒนาการที่ค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ยังเล็กจนเติบใหญ่ และนอกจากมันจะสามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของตนเองได้แล้ว มันยังสามารถแสดงออกทางสีหน้าได้ในหลายๆ ความรู้สึก ตัวอย่างเช่น เมื่อมันรู้สึกมีความสุข มันจะยิ้มปากกว้างมาก ในขณะที่เด็กทารกบางคนอาจจะยิ้มแค่เพียงมุมปากเท่านั้น


******* 
ข้อมูลการยิ้มจาก http://healthy.in.th